วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2553

ดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่


อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ แต่เดิมดอยอินทนนท์มีชื่อว่า “ดอยหลวง” หรือ “ดอยอ่างกา” ดอยหลวง หมายถึงภูเขาที่ มีขนาดใหญ่ ส่วนที่เรียกว่าดอยอ่างกานั้น มีเรื่องเล่าว่า ห่างจากดอยอินทนนท์ไปทาง ทิศตะวันตก 300 เมตร มีหนองน้ำอยู่แห่งหนึ่งลักษณะเหมือนอ่างน้ำ แต่ก่อนนี้มีฝูงกาไป เล่นน้ำกันมากมาย จึงเรียกว่า อ่างกา ต่อมาจึงรวมเรียกว่า ดอยอ่างกา ดอยอินทนนท์นี้เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาหิมาลัยซึ่งพาดผ่านจากประเทศเนปาล ภูฐาน พม่า และมาสิ้นสุดที่นี่ สิ่งที่น่าสนใจของดอยนี้ไม่เพียงแต่เป็นยอดดอยที่สูงที่สุด ในประเทศด้วยความสูง 2,565 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลางเท่านั้น แต่สภาพภูมิ ประเทศและสภาพป่าที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นป่าดงดิบ ป่าสน ป่าเบญจพรรณ และ อากาศที่หนาวเย็นตลอดทั้งปีโดยเฉพาะในฤดูหนาวจะมีหมอกปกคลุมเกือบทั้งวันและ บางครั้งน้ำค้างยังกลายเป็นน้ำค้างแข็ง สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นเสน่ห์ดึงดูดให้มีผู้มาเยือน ที่นี่อย่างไม่ขาดสาย การเดินทางระยะทางจากตัวเมืองขึ้นไปจนถึงยอดดอยอินทนนท์ประมาณ 106 กิโลเมตร ออกจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปตามทางหลวงหมายเลข 108 เชียงใหม่-จอมทอง ถึงหลัก กิโลเมตรที่ 57 ก่อนถึงอำเภอจอมทอง 1 กิโลเมตร แยกขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 1009 สายจอมทอง-อินทนนท์ ระยะทาง 48 กิโลเมตรถึงยอดดอยอินทนนท์ เป็นถนน ลาดยางอย่างดีแต่ทางค่อนข้างสูงชัน รถที่นำขึ้นไปจะต้องมีสภาพดี ผู้ที่ไม่มีรถยนต์ ส่วนตัวสามารถนั่งรถสองแถวสายเชียงใหม่-จอมทองบริเวณประตูเชียงใหม่ จากนั้นขึ้น รถสองแถวที่หน้าวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหารหรือที่น้ำตกแม่กลาง ซึ่งจะเป็นรถโดย สารประจำทางไปจนถึงที่ทำการอุทยานฯตรงหลักกิโลเมตรที่ 31 และหมู่บ้านใกล้เคียง แต่หากต้องการจะไปยังจุดต่าง ๆ ต้องเหมาไปคันละประมาณ 800 บาท ทางอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์มีศูนย์บริการนักท่องเที่ยวตั้งอยู่บริเวณกิโลเมตรที่ 9 ของเส้นทางหมายเลข 1009 มีเจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำ และมีนิทรรศการเกี่ยวกับ ธรรมชาติ สัตว์ป่า และอื่น ๆ บริเวณที่ทำการมีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อม สำรองที่พักล่วงหน้าอย่างน้อย 1 อาทิตย์ ที่กรมอุทยานแห่งชาติฯ โทร. 0 2562 0760 หรือ เว็บไซต์ www.dnp.go.th อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ โทร. 0 5335 5728, 0 5331 1608, เว็บไซต์ www.doiinthanon.com


































































วังนารายณ์ราชนิเวศน์





พระนารายณ์ราชนิเวศน์ สมเด็จพระนารายณ์มหาราชโปรดให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2209 เพื่อใช้เป็นที่ประทับ ณ เมืองลพบุรี แบ่งเป็นเขตพระราชฐานชั้นนอก เขตพระราชฐานชั้นกลาง และเขตพระราชฐานชั้นใน กำแพงพระราชวังก่ออิฐถือปูนมีใบเสมาเรียงรายบนสันกำแพงมีซุ้มประตูทั้งหมด 11 ประตู ประตูทางเข้าเป็นทรงจตุรมุขมีช่องทางเข้าโค้งแหลม ตรงจั่วซุ้มประตูตกแต่งลายกระจังปูนปั้นที่วิวัฒนาการมาจากดอกบัว ที่ซุ้มประตูและกำแพงพระราชฐานชั้นกลางและชั้นในมีช่องเล็ก ๆ เจาะเป็นรูปโค้งแหลมคล้ายบัวเรียงเป็นแถวสำหรับวางตะเกียง ประมาณ 2,000 ช่อง ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4 ) โปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมแซมขึ้นใหม่เมื่อ พ.ศ.2399 เพื่อให้เป็นราชธานีชั้นใน และพระราชทานชื่อว่า “พระนารายณ์ราชนิเวศน์” สิ่งก่อสร้างภายในพระราชวังแบ่งตามยุคสมัยเป็น 2 กลุ่ม คือ สิ่งก่อสร้างในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาท เป็นพระที่นั่งศิลปกรรมแบบไทยและฝรั่งเศสผสมกัน เดิมเป็นท้องพระโรงมียอดแหลมทรงมณฑป ตรงกลางท้องพระโรงมีสีหบัญชร ซึ่งเป็นที่เสด็จออกเพื่อทรงมีพระราชปฏิสันถารกับผู้เข้าเฝ้า ประตูและหน้าต่างท้องพระโรงซึ่งอยู่ด้านหน้าทำเป็นโค้งแหลม ส่วนตัวมณฑปซึ่งอยู่ด้านหลังทำประตูหน้า ต่างเป็นซุ้มแบบไทย คือ ซุ้มเรือนแก้วฐานสิงห์ ในจดหมายเหตุทูตฝรั่งเศส กล่าวพรรณนาพระที่นั่งว่า “ตามผนังประดับด้วยกระจกเงา ซึ่งนำมาจากฝรั่งเศส เพดานแบ่งเป็นช่องสี่เหลี่ยมจัตุรัส 4 ช่อง ประดับด้วยลายดอกไม้ทองคำ และแวผลึกที่ได้มาจากเมืองจีนงดงามมาก” ผนังด้านนอกพระที่นั่งตรงมณฑปชั้นล่างเจาะเป็นช่องโค้งแหลมไว้สำหรับวางตะเกียง ซึ่งจะเห็นได้อีกเป็นจำนวนมากตามซุ้มประตูและกำแพงของพระราชวัง สมเด็จพระนารายณ์ฯเคยเสด็จออกรับคณะราชทูตฝรั่งเศส เชอวาเลีย เดอ โชมองต์ ที่พระที่นั่งองค์นี้ในปี พ.ศ. 2228 ด้วย พระที่นั่งจันทรพิศาล สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2208 เป็นที่ประทับของสมเด็จพระนารายณ์ฯ ที่สร้างทับลงไปบนรากฐานเดิมของพระที่นั่งซึ่งพระราเมศวรโอรสองค์ใหญ่ของพระเจ้าอู่ทองได้ทรงสร้างเมื่อครั้งครองเมืองลพบุรี พระที่นั่งองค์นี้เป็นสถาปัตยกรรมแบบไทยแท้ ด้านหน้ามีมุขเด็จ ภายหลังเมื่อได้สร้างพระที่นั่งสุทธาสวรรค์ขึ้น สมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงย้ายไปประทับที่พระที่นั่งองค์ใหม่ และโปรดให้ใช้พระที่นั่งจันทรพิศาลเป็นที่ออกขุนนาง ซึ่งตรงกับบันทึกของชาวฝรั่งเศสว่าเป็นหอประชุมองคมนตรี ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงบูรณะพระที่นั่งองค์นี้ตามแบบของเดิม ปัจจุบันใช้จัดแสดงเรื่องราวพระราชประวัติของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชและงานประณีตศิลป์สมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ เป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของสมเด็จพระนารายณ์ฯ ตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นใน บันทึกของชาวฝรั่งเศสกล่าวว่า “พระที่นั่งองค์นี้ตั้งอยู่ในพระราชอุทยานที่ร่มรื่น ทรงปลูกพรรณไม้ต่างๆ ด้วยพระองค์เอง หลังคาพระที่นั่งมุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีเหลือง ที่มุมทั้งสี่ มีสระน้ำใหญ่สี่สระ เป็นที่สรงสนานของพระเจ้าแผ่นดิน” สมเด็จพระนารายณ์ฯ สวรรคต ณ พระที่นั่งองค์นี้ เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ.2231 ตึกพระเจ้าเหา ตั้งอยู่ทางด้านใต้ของเขตพระราชฐานชั้นนอก ตึกหลังนี้แสดงให้เห็นถึงลักษณะสถาปัตยกรรมสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ ได้อย่างชัดเจนมาก เป็นตึกที่สร้างเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 10 เมตร ยาว 20 เมตร ยกพื้นสูงขึ้นไปประมาณ 1 เมตร ตัวตึกเป็นรูปทรงไทย ฐานก่อด้วยศิลาแลง และจึงก่ออิฐขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง ปัจจุบันเหลือแต่ผนังประตูหน้าต่าง ทำเป็นซุ้มเรือนแก้วฐานสิงห์ ปัจจุบันคงปรากฏลายให้เห็นอยู่ ด้วยเหตุว่าภายในตึกมีฐานชุกชีปรากฏให้เห็นอยู่และชาวฝรั่งเศสได้ระบุว่าเป็นวัด จึงสันนิษฐานว่าเป็นหอพระประจำพระราชวัง ตึกพระเจ้าเหาหรือ “พระเจ้าหาว” (หาวเป็นภาษาไทยโบราณ หมายถึงท้องฟ้า) ในตอนปลายรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ พระเพทราชา และขุนหลวงสรศักดิ์ใช้ตึกพระเจ้าเหาเป็นที่นัดแนะประชุมขุนนางและทหารเพื่อแย่งชิงราชสมบัติขณะที่สมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงพระประชวรหนัก ตึกรับรองแขกเมือง ตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นนอก ใกล้กับหมู่ตึกสิบสองท้องพระคลังเป็นสถาปัตยกรรมแบบฝรั่งเศส บันทึกของชาวฝรั่งเศสกล่าวว่า ตึกหลังนี้อยู่กลางอุทยาน ซึ่งแบ่งเป็นช่องสี่เหลี่ยมจัตุรัส รอบตึกมีคูน้ำล้อมรอบ ภายในคูน้ำมีน้ำพุเรียงรายเป็นระยะอยู่ 20 แห่ง จากเค้าโครงที่เห็น แสดงว่าในสมัยก่อนคงจะสวยงามมาก ทางด้านหน้าตึกเลี้ยงรับรองมีรากฐานเป็นอิฐแสดงให้เห็นว่าตึกหลังเล็ก ๆ คงจะเป็นโรงมหรสพ ซึ่งมีการแสดงให้แขกเมืองชมภายหลังการเลี้ยงอาหาร สมเด็จพระนารายณ์ฯ ได้พระราชทานเลี้ยงแก่คณะทูตจากประเทศฝรั่งเศส ณ สถานที่นี้ใน พ.ศ. 2228 และ พ.ศ. 2230 พระคลังศุภรัตน์ (หมู่ตึกสิบสองท้องพระคลัง) เป็นหมู่ตึกตั้งอยู่ระหว่างอ่างเก็บน้ำประปาและตึกซึ่งใช้เป็นสถานที่พระราชทานเลี้ยงชาวต่างประเทศ สร้างขึ้นอย่างมีระเบียบด้วยอิฐเป็น 2 แถวยาวเรียงชิดติดกัน อาคารมีลักษณะค่อนข้างทึบ มีถนนผ่ากลาง จำนวนรวม 12 หลัง เข้าใจว่าเป็นคลังเพื่อเก็บสินค้า หรือเก็บสิ่งของเพื่อใช้ในราชการ อ่างเก็บน้ำหรือถังเก็บน้ำประปา ก่อด้วยอิฐยกขอบเป็นกำแพงสูงหนาเป็นพิเศษ ตรงพื้นที่มีท่อดินเผาฝังอยู่เพื่อจ่ายน้ำไปใช้ตามตึกและพระที่นั่งต่างๆ โดยท่อดินเผาจากทะเลชุบศรและอ่างซับเหล็กตามบันทึกกล่าวว่า ระบบการจ่ายทดน้ำเป็นผลงานของชาวฝรั่งเศสและอิตาเลียน โรงช้างหลวง ตั้งเรียงรายเป็นแถวชิดริมกำแพงเขตพระราชฐานชั้นนอกด้านในสุด โรงช้างส่วนใหญ่ปรักหักพังเหลือแต่ฐานปรากฏให้เห็นประมาณ 10 โรง ช้างซึ่งยืนโรงในพระราชวัง คงเป็นช้างหลวงหรือช้างสำคัญ สำหรับใช้เป็นพาหนะของสมเด็จพระนารายณ์ฯ เจ้านายหรือขุนนางชั้นผู้ใหญ่ สิ่งก่อสร้างในรัชสมัยพระบามสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประกอบด้วยหมู่พระที่นั่งพิมานมงกุฏและอาคารต่างๆ ซึ่งปัจจุบันใช้เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนารายณ์ หมู่พระที่นั่งพิมานมงกุฎ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2405 เพื่อเป็นที่ประทับของพระองค์ เมื่อครั้งเสด็จบูรณะเมืองลพบุรี ประกอบด้วยพระที่นั่ง 4 องค์ คือ พระที่นั่งพิมานมงกุฏ เป็นที่ประทับ พระที่นั่งวิสุทธิวินิจฉัยเป็นท้องพระโรงเสด็จออกว่าราชการแผ่นดิน พระที่นั่งไชยศาสตรากรเป็นที่เก็บอาวุธ พระที่นั่งอักษรศาสตราคม ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ทรงพระราชทานให้เป็นศาลากลางจังหวัด ต่อมาเมื่อศาลากลางจังหวัดย้ายไปอยู่ที่ใหม่ พระที่นั่งหมู่นี้จึงรวมกับพระที่นั่งจันทรพิศาล เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์ หมู่ตึกพระประเทียบ ตั้งอยู่บริเวณหลังพระที่นั่งพิมานมงกุฎ ซึ่งเป็นเขตพระราชฐานฝ่ายใน เป็นตึกชั้นเดียว 2 หลัง ก่อด้วยอิฐถือปูนสูง 2 ชั้น เรียงรายอยู่ 8 หลัง สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พักของข้าราชการฝ่ายในที่ตามเสด็จรัชกาลที่ 4 เมื่อครั้งเสด็จประพาสเมืองลพบุรี ทิมดาบหรือที่พักของทหารรักษาการณ์ เมื่อเดินผ่านประตูทางเข้าเขตพระราชฐานชั้นกลาง ข้างประตูทั้งสองด้านตรงบริเวณสนามหญ้าจะแลเห็นศาลาโถงข้างละหลัง นั่นคือตึกซึ่งสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่พักของทหารรักษาการณ์ในเขตพระราชวัง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์ ตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2466 แบ่งอาคารจัดแสดงศิลปะโบราณวัตถุเป็น 4 อาคาร 1. พระที่นั่งพิมานมงกุฎ จัดแสดงหลักฐานโบราณวัตถุสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่พบจากแหล่งโบราณคดีลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณภาคกลางของประเทศไทยและแหล่งโบราณคดีจังหวัดลพบุรี โครงกระดูกมนุษย์ ภาชนะดินเผา เตาดินเผา เครื่องมือเครื่องใช้ทำจากโลหะ ภาชนะสำริด เครื่องประดับทำจากหินและเปลือกหอย เป็นต้น ภายในพระที่นั่งแบ่งเป็นห้องต่างๆ ได้แก่ - ห้องภาคกลางประเทศไทย พ.ศ.800-1500 รับอิทธิพลของวัฒนธรรมอินเดียที่เรียกว่า สมัยทวารวดี จัดแสดงเรื่องการเมือง การตั้งถิ่นฐาน เทคโนโลยีและการดำเนินชีวิต อักษร ภาษา ศาสนสถาน ศาสนาและความเชื่อถือ หลักฐานที่จัดแสดงได้แก่ พระพุทธรูป พระพิมพ์ดินเผา เหรียญตราประทับดินเผา จารึกภาษาบาลี สันสกฤต และรูปเคารพต่าง ๆ - ห้องอิทธิพลศิลปะเขมร-ลพบุรี จัดแสดงหลักฐานทางประวัติศาสตร์ อายุราวพุทธศตวรรษที่ 15-18 โบราณคดีสมัยชนชาติขอมแผ่อิทธิพลเข้าปกครองเมืองลพบุรี และบริเวณภาคกลางของประเทศไทย ได้แก่ ทับหลัง พระพุทธรูปปางนาคปรก พระพุทธรูปปางประทานอภัย เป็นต้น - ห้องประวัติศาสตร์ศิลปะในประเทศไทย จัดแสดงศิลปกรรมที่พบตามภาคต่าง ๆ ของประเทศไทย ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 12-18 ได้แก่ ศิลปะแบบหริภุญไชย ศิลปะล้านนา ศิลปะสมัยลพบุรี เช่น พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร พระพิมพ์ และพระพุทธรูปสำริดสมัยต่าง ๆ - ห้องประวัติศาสตร์ศิลปกรรมสมัยอยุธยา-รัตนโกสินทร์ ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 18 -24 ได้แก่ พระพุทธรูป เครื่องถ้วย เงินตรา อาวุธ เครื่องเงิน เครื่องทอง และชิ้นส่วนสถาปัตยกรรมปูนปั้น และไม้แกะสลักต่าง ๆ - ห้องศิลปร่วมสมัย จัดแสดงภาพเขียนและภาพพิมพ์ศิลปะร่วมสมัยของศิลปินไทย - ห้องประวัติศาสตร์ การเมือง สังคม วัฒนธรรมและพระราชประวัติของสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4)ซึ่งโปรดฯให้และสร้างพระราชวัง ณ เมืองลพบุรี เมื่อ พ.ศ.2399 ได้แก่ ภาพพระบรมสาทิสลักษณ์ ฉลองพระองค์ เครื่องใช้ แท่นพระบรรทม เหรียญทอง และจานชามมีรูปมงกุฎซึ่งเป็นพระราชลัญจกรประจำพระองค์ เป็นต้น 2. พระที่นั่งจันทรพิศาล เป็นลักษณะสถาปัตยกรรมแบบทรงไทย จัดแสดงเรื่องประวัติศาสตร์ การเมือง สังคม วัฒนธรรม และพระราชประวัติของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และห้องด้านหลังจัดแสดงงานประณีตศิลป์สมัยกรุงศรีอยุธยาและกรุงรัตนโกสินทร์ 3. หมู่ตึกพระประเทียบ (อาคารชีวิตไทยภาคกลาง) เป็นอาคารลักษณะสถาปัตยกรรมผสมแบบตะวันตก จัดแสดงเรื่องชีวิตไทยภาคกลาง การดำรงชีวิต ที่อยู่อาศัย เครื่องมือ เครื่องใช้ประกอบอาชีพประมง การเกษตร และศิลปหัตกรรมพื้นบ้านของคนไทยในภาคกลาง โดยเฉพาะจังหวัดลพบุรีที่ใช้ในอดีตจนถึงปัจจุบัน 4. พิพิธภัณฑ์หนังใหญ่ จัดแสดงหนังใหญ่ เรื่องรามเกียรติ์ ซึ่งได้มาจากวัดตะเคียน ตำบลท้ายตลาด อำเภอเมืองลพบุรี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์ฯ เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.30-16.00 น. ค่าเข้าชม ชาวไทย 10 บาท ชาวต่างประเทศ 30 บาท สอบถามรายละเอียด โทร. 0 3641 1458 วัดเสาธงทอง ตั้งอยู่บนถนนฝรั่งเศสซึ่งตัดเชื่อมระหว่างพระราชวังนารายณ์ฯ กับบ้านหลวงรับราชทูต เป็นวัดเก่าแก่ เดิมแยกเป็น 2 วัด คือ วัดรวก และวัดเสาธงทอง พระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เตชะคุปต์) สมุหเทศาภิบาลมณฑลอยุธยา ได้รายงานกราบทูลเสนอความเห็นต่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส เมื่อคราวเสด็จตรวจการคณะสงฆ์ในมณฑลอยุธยาว่า วัดรวกมีโบสถ์ วัดเสาธงมีวิหาร สมควรจะรวมเป็นวัดเดียวกัน ทรงดำริเห็นชอบให้รวมกัน และให้เรียกชื่อว่า วัดเสาธงทอง วัดนี้มีโบราณสถานที่ควรชม คือ พระวิหารซึ่งแต่เดิมคงสร้างขึ้นเพื่อเป็นศาสนสถานของศาสนาอื่น เพราะจากแผนที่ของช่างชาวฝรั่งเศสทำไว้ ระบุว่าพื้นที่บริเวณนั้นเป็นที่พำนักของชาวเปอร์เซีย พระวิหารหลังนี้อาจเป็นที่ประกอบพิธีทางศาสนาอิสลามของชาวเปอร์เซียก็เป็นได้ นอกจากนั้นก็มีตึกปิจู ตึกคชสาร หรือตึกโคระส่าน เป็นตึกเก่าสันนิษฐานว่าใช้เป็นที่พำนักของแขกเมืองและราชทูตชาวเปอร์เซีย บ้านหลวงรับราชทูต หรือ บ้านหลวงวิชาเยนทร์ ตั้งอยู่บนถนนวิชาเยนทร์ ห่างจากปรางค์แขกประมาณ 300 เมตร ทางทิศเหนือของพระนารายณ์ราชนิเวศน์ สำหรับเป็นที่รับรองราชทูตที่มาเฝ้าฯ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ที่เมืองลพบุรี คณะราชทูตจากประเทศฝรั่งเศสชุดแรกที่เข้ามาเมื่อปี พ.ศ.2228 ได้พำนัก ณ ที่แห่งนี้ ต่อมา Constantine Phaulkon (คอนสแตนติน ฟอลคอน)ซึ่งเป็นชาวกรีกได้เข้ามารับราชการได้รับความดี ความชอบ และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นถึง “เจ้าพระยาวิชาเยนทร์” และได้พระราชทานที่พักอาศัยให้ทางทิศตะวันตกของบ้านหลวงรับราชทูต พื้นที่ในบริเวณบ้านหลวงรับราชทูตแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนทิศตะวันตก เป็นอาคารที่พักอาศัยของคณะทูต ได้แก่ ตึก 2 ชั้นหลังใหญ่ก่อด้วยอิฐ และอาคารชั้นเดียว แคบยาว ซุ้มประตูทางเข้าเป็นรูปโค้งครึ่งวงกลม ส่วนกลาง มีอาคารที่สำคัญ คือ ฐานของสิ่งก่อสร้างซึ่งเข้าใจว่าเป็นหอระฆังและโบสถ์คริสต์ศาสนา ซึ่งอยู่ทางด้านหลังซุ้มประตูทางเข้าเป็นรูปจั่ว ส่วนทิศตะวันออก ได้แก่ กลุ่มอาคารใหญ่ 2 ชั้น มีบันไดขึ้นทางด้านหน้าเป็นรูปโค้งครึ่งวงกลม ซุ้มประตูทางเข้ามีลักษณะเช่นเดียวกับทางทิศตะวันตก ลักษณะของสถาปัตยกรรมในบ้านหลวงรับราชทูตบางหลัง เป็นแบบยุโรปอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอาคารใหญ่ทางทิศตะวันออก ก่ออิฐถือปูนสูง 2 ชั้น หน้าต่างและซุ้มประตูแสดงให้เห็นลักษณะศิลปะตะวันตกแบบเรอเนสซองส์ ซึ่งเจริญแพร่หลายในสมัยนั้น และที่สำคัญคือ อาคารที่เป็นโบสถ์คริสต์ศาสนา ผังและแบบของโบสถ์เป็นแบบยุโรป มีซุ้มประตูหน้าต่างเป็นซุ้มเรือนแก้ว มีเสาปลายเป็นรูปกลีบบัวยาวซึ่งเป็นศิลปะไทย โบสถ์เหล่านี้ถือกันว่าเป็นโบสถ์คริสต์หลังแรกในโลกที่ตกแต่งด้วยลักษณะของโบสถ์ทางพระพุทธศาสนา






















จากแชมป์ฤดูฝนเพลงลูกทุ่งรายการชิงช้าสวรรค์สู่งานภูเขาทอง ปี 52





สำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และความมั่นคง แห่งสถาบันชาติ
พระศาสนา พระมหากษัตริย์ ร่วมกับวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร
ได้จัดงานนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ พระบรมบรรพต (ภูเขาทอง)
ในวันที่ ๓๐ ต.ค-๔ พ.ย ๒๕๕๒ ซึ่งถือว่าเป็นงานวัดที่เก่าแก่
ที่สุดในกรุงเทพมหานคร ในงานนี้ทางสำนักงานส่งเสริมคุณธรรม
จริยธรรมฯ ได้จัดเวทีประกวด ร้องเพลงลูกทุ่งเยาวชน จากโรงเรียนเ
ครือข่าย และการแสดงต่างๆ อีกมากมาย ดังนี้ วันที่ ๓๐ ตุลาคม
พ.ศ ๒๕๕๒ การแสดงดนตรีลูกทุ่งของโรงเรียนวินิตศึกษา
จังหวัดลพบุรี วันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๒ การประกวดร้องเพลง
ลูกทุ่งระดับประถมศึกษาชายหญิง การประกวดร้องเพลงลูกทุ่ง
ระดับมัธยมศึกษาชายหญิง ในเขตกรุงเทพมหานคร
โดยมีคุณศิรินลักษณ์ พลางกูร และคณะ เป็นประธาน
มอบรางวัลผู้ชนะการประกวด วันที่ ๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๒
การขับร้องเพลงลูกทุ่ง ของโรงเรียนสยามบริหารธุรกิจ
วันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๒ การขับร้องเพลงลูกทุ่ง
และรีวิวประกอบเพลง ของโรงเรียนชิโนรสวิทยาลัย
วันที่ ๓ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๒ การแสดงวงดนตรีลูกทุ่ง
และรีวิวประกอบเพลง ของกลุ่มโรงเรียนการกุศลฯ โดย
๑.โรงเรียนวัดชัยพฤกษมาลา กรุงเทพมหานคร
๒.โรงเรียนมัธยมวัดใหม่กรงทอง ปราจีนบุรี
๓.โรงเรียนวินิตศึกษา ลพบุรี
วันที่ ๔ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๒ การแสดงวงดนตรีลูกทุ่ง
ของโรงเรียนวินิตศึกษา ลพบุรี
(ชนะเลิศการประกวด รายการชิงช้าสวรรค์ แชมป์ฤดูฝน เต็มวง)



โรงเรียนวินิตศึกษา โรงเรียนการกุศลของวัดที่เด็กแย่งกันเข้า



โรงเรียนวินิตศึกษา ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งโรงเรียนวินิตศึกษาตั้งอยู่เลขที่ ๑๐ ถ.เพทราชา ต.ท่าหิน
อ.เมือง จ.ลพบุรี วินิตศึกษา โรงเรียนวัดที่เด็กแย่งกันเข้า (อยู่ติดกับพระนารายณ์ราชนิเวศน์ ทางด้านทิศใต้) เป็นที่กล่าวขานกันใน จ.ลพบุรี และ
จังหวัดใกล้เคียงว่า เป็นโรงเรียนราษฎร์ในอันดับแนวหน้าของ จ.ลพบุรี วินิตศึกษาในแต่ละปีผู้ปกครองต้องส่งเด็กมาสมัครสอบเข้าเรียนต่อ
ทั้งระดับชั้นมัธยมต้นและมัธยมปลาย โดยมีอัตราการแข่งขันสูงถึง ๑ ต่อ ๒๐ ใครจะคิดว่า โรงเรียนวินิตศึกษาแห่งนี้เป็นโรงเรียนการกุศลของวัด
ในพระพุทธศาสนา (วัดกวิศรารามราชวรวิหาร) สังกัดสำนักบริหารงาน คณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน โดยมี พระวิสุทธิ์พุทธิศาสตร์
เจ้าอาวาสวัดกวิศรารามราชวรวิหาร รองเจ้าคณะจังหวัดลพบุรี เป็นผู้รับใบอนุญาต ผู้จัดการ รวมทั้งเป็นผู้อำนวยการวินิตศึกษาด้วย
" วัดกวิศรารามราชวรวิหาร กับโรงเรียนวินิตศึกษา จะต้องร่วมสุขร่วมทุกข์ เพื่อความอยู่รอดด้วยกัน และเพื่อความมั่นคงของพระศาสนากับการศึกษา
ความปลอดภัยของชาติ ศาสนายั่งยืนตลอดไป ผู้สร้างความแตกแยกระหว่างวัดกับโรงเรียน ได้ชื่อว่าเป็นผู้ทำลายพระศาสนา และการศึกษาตัวเองจะต้อง
ประสบกับความพินาศอย่างย่อยยับหาชิ้นดีมิได้ ที่สำคัญคือ เด็กวินิตต้องมีวินัย" นี่คือปณิธานในการจัดตั้งโรงเรียนของพระวิสุทธิ์พุทธิศาสตร์ ส่วน
ความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียน(วินิตศึกษา)กับวัดนั้น พระวิสุทธิ์พุทธิศาสตร์บอกว่า มีอยู่ ๓ ข้อ คือ
๑. วัดพึงส่งเสริม สนับสนุน และอุปกรณ์ในโรงเรียน ด้วยความสำนึกว่า โรงเรียนเป็นสมบัติของวัด คนของโรงเรียนเป็นคนของวัด งานของโรงเรียน
เป็นงานของวัด
๒. โรงเรียนพึงช่วยเหลือ สนับสนุน และอุปถัมภ์วัด ด้วยความสำนึกว่า วัดคือต้นสังกัดของโรงเรียน พิธีไหว้ครู โรงเรียนวินิตศึกษา
๓. วัดพึงสำนึกว่า จะอยู่ได้เจริญงอกงามเพราะมีโรงเรียน และโรงเรียนจงสำนึกว่า จะอยู่ได้สบายเพราะมีวัด เพราะทั้งวัดทั้งโรงเรียน เป็นเหมือน
บุคคลคนเดียวกัน การศึกษากับศาสนาเป็นเรื่องเดียวกัน
สำหรับความเป็นมาของโรงเรียนวินิตศึกษานั้น พระวิสุทธิ์พุทธิศาสตร์ เล่าว่า โรงเรียนวินิตศึกษาแห่งนี้ตั้งขึ้นเมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๔๘๙
โดย พระพุทธวรญาณ (กิตติ บัวอ่อน ปธ.๘) อดีตเจ้าคณะจังหวัดลพบุรีกับ คณะศิษย์ ๔ คน จัดตั้งโรงเรียนวินิตศึกษาขึ้น เพื่อให้เยาวชนได้รับการศึกษา
ควบคู่ไปกับการฝึกอบรม คุณธรรมตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา ให้สามารถประกอบสัมมาอาชีพได้ และดำรงตนอยู่ในสังคมด้วยคุณธรรมอันดี
เปิดสอนตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ถึงมัธยมศึกษาปีที่ ๓ มีนักเรียน ๑๒๐ คน ครู ๗ คน ใช้ศาลาวัดกวิศราราม และอาคารสถานที่ของวัดเป็นที่เรียน
โดยท่านเป็นผู้อำนวยการ และมี ครูประพันธ์ ผลฉาย เป็นครูใหญ่ โดยปัจจุบันนี้มีนักเรียนกว่า ๔,๐๐๐ คน พ.ศ.๒๔๙๒ กระทรวงศึกษาธิการให้การรับรอง
วิทยฐานะ(วินิตศึกษา)เทียบเท่าโรงเรียนรัฐบาล ภายหลังจากได้ดำเนินการสอนตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาได้เพียง ๓ ปี และย้ายสถานที่เรียน
มาสร้างอาคารถาวรด้านหลังวัด ซึ่งเป็นอาคารเรียนปัจจุบัน โดยมี อาจารย์ประพัฒน์ ตรีณรงค์ เป็นครูใหญ่คนที่ ๒ (ต่อจากอาจารย์ ประพันธ์ ผลฉาย)
พร้อมกันนี้ได้เปิดสอนชั้น ม.๔-ม.๖ (ม.ศ.๑-ม.ศ.๓ ปัจจุบัน) ในนาม โรงเรียนวิทยาประสิทธิ์ (เพราะการจะเปิดชั้นเรียนเพิ่มสูงขึ้นนั้น เปิดในโรงเรียน
เดิมซึ่งได้รับการรับรองวิทยฐานะแล้วไม่ได้ตามระเบียบ ของกระทรวงศึกษาธิการในขณะนั้น) มี อาจารย์ชั้น ปานบัว เป็นครูใหญ่ โรงเรียนนี้เปิดสอนไม่นาน กระทรวงศึกษาธิการได้รับรองวิทยฐานะเทียบเท่าโรงเรียนรัฐบาล ในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ และหลังจากนั้นได้ยุบเป็น "โรงเรียนวินิตศึกษา" แต่เพียงโรงเรียนเดียว
โดยมี หลวงพ่อพระพุทธวรญาณ รักษาการตำแหน่งครูใหญ่อยู่ ๒ ปี ต่อจากนั้น อาจารย์จันทร์ บัวสนธิ์ ดำรงตำแหน่งครูใหญ่ต่อมา จนสิ้นสุดปีการศึกษา
๒๕๓๘ ชั้นเรียนเดิม ซึ่งเคยมีตั้งแต่ชั้นมัธยมปีที่ ๑ ถึงชั้นมัธยมปีที่ ๖ เปลี่ยนเป็นตั้งแต่ชั้นประถมปีที่ ๕ ถึงมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ตามระบบการศึกษาที่
เปลี่ยนแปลงใหม่ และได้เปิดชั้น ม.ศ.๔ ม.ศ.๕ และ ม.ศ.๖ พ.ศ. ๒๔๙๓ ได้โอนเข้าเป็นสมบัติของของ กวิศรารามมูลนิธิ และได้โอนเป็นของวัดกวิศราราม
ปี พ.ศ. ๒๕๓๐ โรงเรียนวินิตศึกษาจึงมีฐานะเป็นโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนาโดย สมบูรณ์ เหตุคนแย่งเข้า นายสือ ล้ออุทัย ปลัดกระทรวง
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งเคยเป็นเด็กวัดกวิศฯ เมื่อครั้งหลวงพ่อพระพุทธวรญาณ เป็นเจ้าอาวาส และเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนวินิตศึกษา
บอกว่า เข้าเรียนที่นี่เมื่อปี ๒๕๐๘ โดยเป็นเด็กวัดกวิศฯ ในช่วงนั้น หลวงพ่อผู้ก่อตั้งโรงเรียนท่านมีความสนใจทางด้านการศึกษามาก ทุกๆ วันหากท่าน
มีเวลาว่าง ก็จะลงมาอบรมนักเรียนด้วยตัวเอง เหตุที่โรงเรียนวัดได้รับความนิยม เพราะพระผู้เป็นเจ้าของให้ความสนใจ เรียกว่าดีกว่าฆราวาสด้วยซ้ำ
โรงเรียนการกุศลของวัดแห่งอื่นๆ เป็นอย่างไรไม่รู้ แต่ที่วินิตศึกษาได้ยินชื่อมาก่อนที่จะเข้าเรียนว่า นักเรียนสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารได้จำนวนมาก
และเป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่ปัจจุบันนี้ พระผู้ใหญ่ซึ่งเป็นผู้อำนวยการสืบทอดเจตนารมณ์ของเจ้าอาวาสรูปเดิมไว้อย่าง มั่นคง ในขณะที่
นายประเสริฐ งามพันธุ์ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (เลขาธิการ ก.ค.ศ.) บอกว่า ในช่วงที่เรียนชั้นมัธยมนั้น
เป็นเด็กวัดมาตลอด เมื่อปี ๒๕๐๙ เคยมาเป็นครูฝึกสอนที่โรงเรียนเทศบาลวัดกวิศฯ เหตุที่โรงเรียนวัดแห่งนี้ (วินิตศึกษา)ได้รับความนิยม ต้องยอมรับว่า
พระผู้เป็นเจ้าของโรงเรียนมีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนที่เน้นเรื่องวินัยเป็นหลัก ตามชื่อของโรงเรียน เมื่อเด็กมีวินัย สิ่งดีๆ ก็ตามมาเอง
โรงเรียนนี้ถือว่าเป็นต้นแบบในการบริหารจัดการที่ดีเยี่ยม อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้ต้องยอมรับว่า ครูบาอาจารย์ในโรงเรียนวัดบางแห่งให้ความสำคัญ
พระน้อยลง หรือบางแห่งถึงขั้นว่า ไม่ได้ให้ความสำคัญพระเลย เมื่อโรงเรียนห่างวัดเด็กก็ห่างวัด เมื่อเด็กห่างวัดความมีศีลธรรม ความมีระเบียบวินัย
ก็ถอยห่างไปด้วย ทั้งๆ ที่ชื่อของโรงเรียนก็เป็นชื่อเดียวกับวัด รวมทั้งโรงเรียนก็ตั้งอยู่ในพื้นที่ของวัด ครูและพระต่างก็เป็นผู้ให้ความรู้เหมือนกัน
ขณะเดียวกันต่างก็มีลูกศิษย์กลุ่มเดียวกัน เมื่อใดหันมาร่วมมือกันเชื่อว่าการศึกษาของเยาวชนน่าจะดีกว่านี้โดยเฉพาะ ด้านศีลธรรม โรงเรียนวินิตศึกษา
ได้รับความนิยมด้วยเหตผลที่กล่าวมา เรื่อง / ภาพ ไตรเทพ ไกรงู ที่มา...